วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติมาร์โคโปโล




    มาร์โคโปโล (Marco Polo) ในประเทศจีน มาร์โคโปโลเป็นลูกพ่อค้าชาวเมืองเวนิส และได้ออกเดินทางทางบกไปถึงประเทศจีนกับบิดา และลุงของเขา เมื่อ ค.ศ. 1271 ซึ่งเป็นการเดินทางผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ ในประวัติการค้นคว้าสำรวจครั้งหนึ่ง ในสมัยนั้นบิดาและลุงของมาร์โคโปโลได้เข้าไปอยู่ในประเทศจีนในฐานะพ่อค้า เมื่อกลับมาถึงเวนิสและจะออกเดินทางไปอีกได้นำเอามาร์โคโปโลลูกชายอายุ 17 ปีไปด้วย พร้อมกับหนังสือของพระสังฆราชไปยังพระเจ้ากุบไลข่าน จักรพรรดิแห่งประเทศจีน ตลอดระยะทาง มาร์โคโปโลได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาได้พบเห็นไว้หมดสิ้น เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับนครแบกแดด ศูนย์การค้าของพวกอาหรับ การเดินทางข้ามเทือกเขาฮินดูกูส และทะเลทรายเป็นต้น การเดินทางครั้งนั้นกินเวลา 3 ปี จึงไปถึงราชสำนักของพระเจ้ากุบไลข่าน ในประเทศจีน มาร์โคโปโลได้พบว่าเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เขาได้เห็นชาวเมืองใช้กระดาษแทนเงินตรา ใช้ถ่านหินก่อไฟผิง หุงต้มและใช้ในกิจการอื่น ๆ ตลอดจนได้พบเห็นการแกะตัวพิมพ์ด้วยไม้ และการพิมพ์ตัวหนังสือลงบนกระดาษ ฯลฯ อันเป็นความรู้ใหม่ของชาวยุโรป เช่น มาร์โคโปโล สมัยนั้น เมื่อไปอยู่ในราชสำนักนาน ๆ ไม่ช้า มาร์โคโปโลก็เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าข่าน เขาได้ถูกส่งให้ไปดูแลบ้านเมืองต่าง ๆ ของประเทศจีน และออกไปยังดินแดนของพม่า ธิเบต ขึ้นไปทางเหนือถึงดินแดนไซบีเรีย ได้เห็นสุนัขลากเลื่อน หมีขาว และชาวพื้นเมืองซึ่งนั่งบนเลื่อนน้ำแข็ง มีกวางเรนเดียร์ลากไปมา การเดินทางท่องเที่ยวของมาร์โคโปโลไปยังที่ต่าง ๆ โดยอาศัยความคุ้มครองของจักรพรรดิข่าน ทำให้เขาได้ทราบเรื่องราวของอาเซียตะวันออก ได้ดียิ่งกว่าชาวพื้นเมืองเสียอีก ทางประวัติศาสตร์จึงยกย่องว่า มาร์โคโปโลเป็นนักสำรวจค้นคว้าคนสำคัญคนหนึ่ง
     
   
   ประวัติ มาร์โคโปโล เกิดวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 1797 (ค.ศ.1254) ณ เกาะคอรชูล่า ในประเทศโครเอเชียปัจจุบัน เสียชีวิต 8 มกราคม พ.ศ. 1866(ค.ศ.1324) เป็นนักเดินทางค้าขายและนักสำรวจชาวเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มาร์โคโปโลเป็นชาวตะวันตกคนแรก ๆ ที่ได้เดินทางตามเส้นทางสายไหม (ร่วมกับบิดาและลุงของเขา) ไปยังประเทศจีน (ซึ่งเขาเรียกว่า คาเธ่ย์) และได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิกุบไล ข่านแห่งจักรวรรดิมองโกล ผู้เป็นหลานปู่ของเจงกีส ข่าน และได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหางโจวช่วยงานราชสำนักถึง 17 ปี ก่อนเดินทางกลับบ้านเกิดการเดินทางของเขาถูกบันทึกไว้ในหนังสือชื่อ อิลมีลีโอเน (Il Milione)หรืออีกชื่อหนึ่งคือ การเดินทางของมาร์โคโปโล

   
   มาร์โค โปโล นักเดินทางในสมัยกลางชาวอิตาเลี่ยน ถือว่าเป็นชาวยุโรปคนแรก ที่เดินทางข้ามทวีปเอเชีย และได้เขียนบันทึกการเดินทางเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังเอาไว้. หนังสือบันทึกการเดินทางของเขาได้รับการรู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า The Travels of Marco Polo, ในหนังสือเล่มดังกล่าว เขาได้อธิบายถึงทวีปๆหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักกันเลยสำหรับชาวยุโรปในยุคสมัยของเขา. เขาได้พรรณาถึงอารยธรรมเกี่ยวกับจีน ซึ่งเจริญเหนือกว่าวัฒนธรรม และเทคโนโลยีของชาวยุโรป. แต่เนื่องจากว่าบางส่วน มีนัยะที่เป็นไปในเชิงยกยอปอปั้น, หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้รับการพิจารณาในสาระสำคัญ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่เสกสรรค์ขึ้นมา และเป็นเรื่องเกินความจริงไป. จนกระทั่งคริสตศตวรรษที่ 19 นักวิชาการและบรรดานักสำรวจทั้งหลาย จึงยืนยันถึงความถูกต้องเที่ยงตรงโดยทั่วๆไป เกี่ยวกับการสังเกตุการณ์ของมาร์โคโปโล      
      
  ครอบครัวของมาร์โคโปโล และการเดินทางของพวกเขา พ่อของมาร์โคโปโล, Niccolo, และลุงของเขา Maffeo เป็นพ่อค้าที่มั่งคั่งแห่ง Venetian Republic. ตอนที่มาร์โคยังเป็นเด็กอยู่ พ่อและลุงของเขาได้จากครอบครัวในเวนิส และออกเดินทางไกลไปในดินแดนที่ไม่ได้คาดหวังเอาไว้ จนไปถึงประเทศจีน. ในช่วงเวลานั้น ไม่มีชาวคริสเตียนตะวันตกคนใดเท่าที่ทราบ ได้เคยเดินทางไปประเทศจีนมาก่อน, และเมื่อตระกูลโปโลได้เดินทางไปถึงประเทศจีน พวกเขาก็ได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตอย่างอบอุ่นโดยผู้ปกครอง นามว่า Kublai Khan, จักรพรรดิ์แห่งมองโกลส์. กุปไบล ข่าน ได้สอบถามคนทั้งสองด้วยความสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับดินแดนยุโรป. พระองค์ได้มอบหมายให้ทั้งคู่นำพระราชสาส์นไปมอบให้กับ Pope Clement IV เพื่อขอให้ทรงส่งผู้คนแก่เรียนจำนวน 100 คนมายังราชสำนักของพระองค์ เพื่อจะได้ถกกันถึงปัญหาธรรมมะ และสนทนากนถึงคุณความดีของคริสตศาสนา. ตระกูลโปโลได้รับปากว่า จะนำน้ำมันจากตะเกียงเหนือหลุมฝังพระศพขององค์พระเยซูคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็มกลับมาด้วย ในปี 1269 สองพี่น้องตระกูลโปโล ได้เดินทางกลับมาถึงป้อมปราการ Crusader of Acre ในปาเลสไตน์  ฑูตของสันตะปาปาที่ Acre, Teobaldo Visconti, ได้ให้ข่าวแก่คนทั้งสองว่า Pope Clement ได้สิ้นพระชนม์แล้ว แต่ได้เร่งเร้าให้พวกเขาปฏิบัติตามพันธกิจของตน เมื่อองค์สันตะปาปาองค์ใหม่ได้รับการเลือกตั้งขึ้น. สองพี่น้องตระกูลโปโลอธิบายว่า จะใช้เวลาในช่วงระหว่างนั้นไปเยี่ยมครอบครัวของตน, แต่ในขณะที่เดินทางกลับมายังบ้านเกิด Niccolo ได้ทราบข่าวว่า ภรรยาของเขาได้ถึงแก่กรรมลงแล้ว. บุตรชายของเขา Marco ตอนนี้ก็มีอายุย่างเข้า 15 ปีแล้ว. การเลือกตั้งสันตะปาปาองค์ใหม่ได้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และหลังจากนั้นสองปี ผู้เป็นน้อง(หมายถึงพ่อของมาร์โค)ก็ตัดสินใจว่า ถ้าหากว่าพวกเขายังต้องรอต่อไปอีก มันจะสายเกินไปที่จะหวนกลับไปเฝ้าองค์จักรพรรดิ์กุปไบล ข่าน ดังนั้นในปี 1271 พวกเขาจึงกลับไปยัง Acre และครั้งนี้เขาได้นำเอามาร์โค โปโลติดตามไปด้วย หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับฑูตของสันตะปาปา Teobaldo  พวกเขาก็เดินทางต่อไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และไปรับเอาน้ำมันตะเกียงอันศักดิ์สิทธิ์  พร้อมน้ำมันตะเกียงและจดหมายฉบับหนึ่งจากท่านฑูตขององค์สันตะปาปา ตระกูลโปโลทั้งสามคนก็เริ่มออกเดินทางไกลไปยังประเทศจีน ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางไกลครั้งนี้ พวกเขาได้รับรู้จาก Teobaldo เองว่าจะได้รับเลือกให้เป็นสันตะปาปา ตัวท่านเองจะเป็นผู้ตอบรับคำขอของจักรพรรดิ์กุปไบลข่าน แต่ว่าสันตะปาปาองค์ใหม่ ผู้ซึ่งได้ฉายาว่า Gregory X สามารถที่จะส่งผู้คงแก่เรียนหรือมิชชันนารีไปกับครอบครัวโปโลได้เพียง 2 คนเท่านั้น แทนที่จะเป็น 100 คนตามที่ได้มีพระราชสาส์นขอมา  ถึงกระนั้นก็ตาม มิชชันนารีทั้งสองคนนี้ ต่อมาไม่นานก็ได้ละทิ้งการเดินทางนี้ไปเสีย. การเดินทางซึ่งต้องข้ามภูเขาและทะเลทรายแห่งเอเชีย ทำให้พวกเขาต้องใช้เวลาในการเดินทางยาวนานถึง 3 ปีครึ่งทีเดียว  และมาสิ้นสุดที่ Shangtu  อันเป็นเมืองหลวงสำหรับฤดูร้อนขององค์จักรพรรดิ์กุปไบลข่าน องค์พระจักรพรรดิ์ฯ ได้ต้อนรับนักเดินทางด้วยเครื่องหมายอันแสดงถึงไมตรีจิตที่พิเศษ และรับรอง Marco ด้วย ซึ่งตอนนี้เขามีอายุ 20 ย่าง 21 ปีแล้ว  พวกเขาต่างๆได้รับการต้อนรับท่ามกลางผู้รับใช้ของพระองค์อย่างสมเกียรติ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นที่ชัดเจนนักว่า สิ่งที่ตระกูลโปโลทำนั้นในช่วง 17 ปีที่พำนักอยู่ในประเทศจีนคืออะไร  แต่เป็นที่ทราบกันดีว่ากุปไบล ข่าน ได้ใช้เจ้าหน้าที่ทางการชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และมาร์โคได้รับหน้าที่กระทำภารกิจในเรื่องที่ต้องสัญจรไปในที่ห่างไกลของจักรวรรดิ์ และได้บรรลวัตถุประสงค์อยู่เนืองๆ. สำหรับการเดินทางครั้งหนึ่งนั้น ได้อนุญาตให้มาร์โค โปโล เดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้จนถึงเมืองยูนาน และเป็นไปได้ว่า เขาจะไปถึงประเทศพม่าด้วย. ส่วนอีกครั้งของการเดินทางนั้น เขาได้ท่องไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่เมืองหางโจว อันถือว่าเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งทัดเทียมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความงดงามของเมืองหลวงของจักรพรรดิ์กุปไบล ข่าน, นั่นคือ เมือง Taitu หรือ Khanbalik (หรือปักกิ่งนั้นเอง). มันมีเหตุผลที่จะคิดไปได้ว่า มาร์โค โปโล ได้มีความสัมพันธ์กันบางอย่างกับผู้บริหารที่ได้รับเอกสิทธิ์เกี่ยวกับการค้าเกลือ แต่มันไม่ได้รับการบันทึกเอาไว้ในรายงาน  ในเรื่องเล่าส่วนใหญ่ของหนังสือบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล  ผู้บริหารเกี่ยวกับการค้าเกลือนี้ เขาเป็นผู้ปกครองเมืองหยางโจว ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ และตระกูลโปโลได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการยึดครองของมองโกลส์เกี่ยวกับเมือง Saianfu ด้วย
                          
                             กุปไบล ข่าน


ในที่สุด พอถึงปี 1929 ตระกูลโปโลก็ได้ออกจากเมืองจีน ซึ่งในช่วงเวลานั้น จักรพรรดิ์กุปไบล ข่าน ย่างเข้าสู่วัยชราภาพแล้ว. ชาว Venetian ทั้งสามเกรงว่า ข้าราชบริภารราชสำนักที่เป็นภัยต่อพวกเขาอาจนำอันตรายมาสู่พวกเขาได ้เมื่อผู้ปกป้องพวกเขาต้องเสด็จสวรรคต. การรู้ว่า เจ้าหญิงพระองค์หนึ่งของจักรพรรดิ์กุปไบล ข่านได้รับการยกให้กับผู้ปกครองชาวมองโกลส์แห่งเปอร์เชีย เป็นช่องทางอันหนึ่งที่พวกเขาจะได้ออกจากเมืองจีนและกลับไปยังบ้านเกิดของตน  ดังนั้นตระกูลโปโลจึงขอพระราชทานอนุญาตจากกษัตริย์กุปไบล ข่าน เพื่อไปเป็นผู้คุ้มกันในขบวนเสด็จของเจ้าหญิง ทั้งๆที่จักรพรรดิ์กุปไบล ข่านจะไม่เต็มพระทัยก็ตาม. การเดินทางนั้นใช้เส้นทางเรือมุ่งหน้าออกสู่ทะเล และจากเปอร์เชีย ตระกูลโปโล ในท้ายที่สุด ก็ได้มาถึงเมืองเวนิสในปี 1295 หลังจากที่ต้องร้างลาจากบ้านเกิดมานานถึง 24 ปีเต็ม.
   


เรื่องเล่าตำนานอันนี้ เมื่อแรกมันไม่ได้รับการยอมรับ  ทั้งนี้เพราะ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดต่อเพื่อนบ้านของพวกเขา เกี่ยวกับการสร้างโชคลาภขึ้นมาด้วยอัญมณีจากเสื้อบุชั้นใน ในเสื้อผ้าของพวกเขา ในช่วงเวลาระหว่าง 3 ปีต่อมา, มาร์โค โปโล ได้ถูกจับเป็นเชลยในสงครามทางทะเลระหว่างเวนิสและจีนัว. ในคุกของจีนัว เขาได้เล่าถึงประสบการณ์ของตนเองในเอเชียแก่บรรดาคนคุกทั้งหลายฟัง และเมื่อนักโทษคนหนึ่ง นามว่า Rustichello  ซึ่งเป็นนักเขียนเรื่องโรมานส์ ได้เสนอเรื่องราวอันน่าสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่มาร์โค โปโลได้พูดถึงนี้เป็นลายลักษณ์อักษร มาร์โค โปโล ก็ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริง และได้ส่งบันทึกการเดินทางดังกล่าวไปยังเมืองเวนิส. ด้วยวิธีการนี้ การเดินทางครั้งนั้นของมาร์โค โปโล จึงได้ถุกบันทึกสำหรับชนรุ่นหลังต่อมา. เมื่อได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นนักโทษราวปี 1299  มาร์โค โปโล ได้หวนคืนกลับไปยังเมืองเวนิส และได้เริ่มต้นทำการค้าของเขาขึ้นมาอีกครั้ง. เขาได้แต่งงานและมีลูก และถึงแก่กรรมลงในปี 1324 ตอนที่เขาถึงแก่กรรมนั้น ได้ทิ้งหลักทรัพย์ซึ่งเป็นที่ดินมากมายให้แก่ลูกสาว 3 คนของเขา. บนเตียงนอนก่อนที่เขาจะตาย เขาได้พูดออกมาซึ่งมีบันทึกเอาไว้ว่า : "ข้าไม่ได้เล่าเรื่องราวอีกครึ่งหนึ่งที่ข้าได้ไปพบเห็นมา ให้ใครฟัง เพราะว่าข้ารู้ดีว่ามันคงจะไม่มีใครเชื่อมาร์โค โปโล เป็นคนที่สนใจในทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศหนึ่ง, เช่นเดียวกับจักรพรรดิ์กุปไบล ข่าน ซึ่งสำหรับพระองค์ทรงมีบุคลิกลักษณะเช่นนี้
 มาร์โค โปโล ได้ฝึกฝนพลังแห่งการสังเกตุและเฝ้าดูของตนเองขึ้นมา เพื่อที่จะเขียนรายงานที่สมบูรณ์เท่าที่จะทำได้เกี่ยวกับการเดินทางที่เป็นทางการ หนังสือของมาร์โค โปโลเกี่ยวกับข้องกับรูปร่างของผืนแผ่นดิน  สัตว์ และพืชพันธุ์ต่างๆ สิ่งประดิษฐ์ การผลิต ขนบธรรมเนียมประเพณี รัฐบาล และศาสนา สิ่งที่น่าพิศวงมากมายที่เขาได้บันทึกเอาไว้ มาถึงตอนนี้ กลายเป็นเรื่องธรรมดาไม่น่าสนใจแล้ว  ดังเช่น หินและของเหลวซึ่งติดไฟได้ ปัจจุบันเราทราบกันแล้วว่าคือถ่านหินและน้ำมัน. ส่วนสิ่งที่แปลกประหลาดอื่นๆนับแต่ที่ได้รับการยืนยัน อย่างเช่น เรื่องราวของมนุษย์กินคนแห่งสุมาตรา, ยังคงมีเสน่ห์ตรึงใจอยู่. เรื่องราวที่ฟังดูเหลวไหลไร้สาระที่รู้กันทั่วไป อย่างเช่น ชนเผ่าหนึ่งซึ่งมีหาง ปกติแล้วไม่ได้เป็นที่รับรองโดยส่วนตัว  สำหรับเหตุผลบางประการ มาร์โค โปโล ไม่ประสบความสำเร็จที่จะกล่าวถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจมาก ซึ่งอันนี้รวมถึงกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่มากและการดื่มน้ำชา เขาอาจจะคิดว่ารายละเอียดอันนั้น มันไม่น่าเชื่อถือหรือไม่มีความสำคัญ หรือเขาอาจจะหลงลืมมันไป ทั้งนี้เพราะ เรื่องคลาสสิคของมาร์โค โปโล ก็คือ ผลงานชิ้นหนึ่งทางด้านวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่าเรื่องราวอัตชีวประวัติและเรื่องเล่าของการเดินทาง




                             จาก   http://www.midnightuniv.org







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น